พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้าพระธรรม และพระสงฆ์
ไตรลักษณ์ แปลว่า "ลักษณะ 3 อย่าง" หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือข้อกำหนด หรือสิ่งที่มีประจำอยู่ในตัวของสังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ 3 อย่าง ได้แก่ :-
อนิจจตา (อนิจจลักษณะ) - อาการไม่เที่ยง อาการไม่คงที่ อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป อาการที่แสดงถึงความเป็นสิ่งไม่เที่ยงของขันธ์.
ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) - อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ อาการที่ไม่สมบูรณ์ มีความบกพร่องอยู่ในตัว อาการที่แสดงถึงความเป็นทุกข์ของขันธ์.
อนัตตา (อนัตตลักษณะ) - อาการของอนัตตา อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่มีตัวตน อาการที่แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง อาการที่แสดงถึงความไม่มีอำนาจแท้จริงในตัวเลย อาการที่แสดงถึงความด้อยสมรรถภาพโดยสิ้นเชิง ไม่มีอำนาจกำลังอะไร ต้องอาศัยพึ่งพิงสิ่งอื่นๆ มากมายจึงมีขึ้นได้.
ลักษณะ 3 อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะที่มีเสมอกันแก่สังขารทั้งปวง และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมนิยาม คือกฎธรรมดา หรือข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขาร
ไตรสิกขา แปลว่า สิกขา 3 หมายถึงข้อสำหรับศึกษา, การศึกษาข้อปฏิบัติที่พึงศึกษา, การฝึกฝนอบรมตนในเรื่องที่พึงศึกษา 3 อย่างคือ
อธิสีลสิกขา คือศึกษาเรื่องศีล อบรมปฏิบัติให้ถูกต้องดีงาม ให้ถูกต้องตามหลักจุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลัก มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลักอินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ และสันโดษ
อธิจิตตสิกขา คือศึกษาเรื่องจิต อบรมจิตให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิ ได้แก่การบำเพ็ญสมถกรรมฐานของผู้สมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์จนได้บรรลุฌาน 4
อธิปัญญาสิกขา คือศึกษาเรื่องปัญญาอบรมตนให้เกิดปัญญาแจ่มแจ้ง ได้แก่การบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานได้ฌานแล้วจนได้บรรลุวิชชา 8 คือเป็นพระอรหันต์หรืออืกชื่อคืออรหันต์พุทธ
บุญกิริยาวัตถุ 3 ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา
กายสุจริต ๓
ไตรสิกขา อันเป็นข้อปฏิบัติอย่างเดียวกัน ได้แก่
อธิศีลสิกขา ข้อปฏิบัติเพื่ออบรมความประพฤติ ให้ดียิ่งขึ้น
อธิจิตตสิกขา ข้อปฏิบัติเพื่ออบรมจิต ให้เกิดสมาธิยิ่งขึ้น
อธิปัญญาสิกขา ข้อปฏิบัติเพื่ออบรม ให้มีความรู้แจ้งยิ่งขึ้น
ตัณหา 3
กามตัณหา ความอยากในรสสัมผัสต่าง ๆ
ภวตัณหา ความอยากเป็น ความอยากอยู่ในสภาวะใด ๆ
วิภวตัณหา ความไม่อยากเป็น ความอยากพ้นไปจากสภาวะใด ๆ
พระถังซัมจั๋งสามารถเลือกใช้ปาฏิหาริย์สามแบบในการสอนศิษย์ทั้งสามคนได้ตามลักษณะและความสามารถของแต่ละคน ดังนี้:
ใช้กับศิษย์ที่มีความท้าทายหรือไม่ยอมรับคำสอน เช่น เห้งเจีย (ซุนหงอคง) ที่มีพลังและความสามารถพิเศษ การสอนด้วยอิทธิปาฏิหาริย์จะช่วยให้เขาเห็นถึงความสำคัญของการควบคุมพลังและใช้มันในทางที่ถูกต้อง โดยอาจแสดงฤทธิ์เพื่อปราบความคิดที่ไม่ดีหรือความดื้อรั้นของเขา.
เหมาะสำหรับโป้ยก่าย ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจและเรียนรู้ได้รวดเร็ว การใช้วิธีนี้จะช่วยให้เขาเข้าใจหลักธรรมได้ลึกซึ้ง โดยการดักใจและชี้นำไปในทางที่ดี เพื่อให้เขาเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติธรรมและการเปลี่ยนแปลงตนเอง.
ใช้กับซัวเจ๋ง (จิ้งจอก) ที่มีลักษณะเป็นคนที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ดีจากการบรรยาย การสอนด้วยวิธีนี้จะทำให้เขาได้รับความรู้และปัญญาอย่างเต็มที่ โดยการสนทนาและโต้ตอบ ซึ่งจะช่วยให้เขาเข้าใจแนวทางการปฏิบัติและการใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง.
การเลือกใช้ปาฏิหาริย์แต่ละแบบนี้จะช่วยให้พระถังซัมจั๋งสามารถสอนศิษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับลักษณะของแต่ละคน.
ศิษย์ทั้งสามคนของพระถังซัมจั๋งสามารถจัดประเภทได้ตามบุคคล 4 ประเภทในพระพุทธศาสนา ดังนี้:
เห้งเจียเป็นตัวแทนของ อุคฆฏิตัญญู ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจธรรมะได้อย่างรวดเร็วและลึกซึ้ง เมื่อได้รับการสอนหรือฟังธรรมก็สามารถรู้แจ้งได้ทันที เห้งเจียมีความสามารถพิเศษและมีพลังมาก ทำให้เขาเป็นศิษย์ที่เหมาะสมกับการสอนแบบอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ เพื่อให้เขาเห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังในทางที่ถูกต้อง.
โป้ยก่ายจัดอยู่ในประเภท วิปจิตัญญู ซึ่งเป็นผู้ที่มีสติปัญญาปานกลาง สามารถเข้าใจธรรมะได้ แต่ต้องใช้เวลาและการพิจารณาเพิ่มเติม การสอนด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์จะช่วยให้เขาเข้าใจธรรมะได้ดีขึ้น โดยการดักใจและชี้นำไปในทางที่ดี.
ซัวเจ๋งเป็นตัวแทนของ เนยยะ ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจได้ดีจากการบรรยาย การสอนด้วยอนุสาสนีปาฏิหาริย์จะเหมาะสมที่สุดสำหรับเขา โดยการสนทนาและโต้ตอบจะช่วยให้เขาเข้าใจแนวทางการปฏิบัติและการใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง.
การจัดประเภทนี้จะช่วยให้พระถังซัมจั๋งสามารถเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมกับศิษย์แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ศิษย์ทั้งสามคนของพระถังซัมจั๋งสามารถจัดประเภทตามจริต 6 ได้ดังนี้:
จริต: โทสจริต
ลักษณะ: เห้งเจียมีอารมณ์รุนแรงและใจร้อน มักจะมีความโกรธหรือหงุดหงิดเมื่อเผชิญกับอุปสรรคหรือความไม่ยุติธรรม เขามักจะใช้พลังและความสามารถในการแก้ปัญหาหรือเอาชนะศัตรู แต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเอง.
จริต: ราคจริต
ลักษณะ: โป้ยก่ายมีความรักสวยรักงามและมักจะสนใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตนเอง เขามักจะมีความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และบางครั้งอาจจะมีความอ่อนไหวต่อความคิดเห็นของคนรอบข้าง.
จริต: วิตกจริต
ลักษณะ: ซัวเจ๋งมีแนวโน้มที่จะคิดมากและฟุ้งซ่าน มักจะวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ และมีความคิดที่ไม่แน่นอน เขาต้องการความมั่นใจและการสนับสนุนจากผู้อื่นเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข.
การจัดประเภทตามจริตนี้ช่วยให้เข้าใจลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของศิษย์แต่ละคนได้ดีขึ้น และสามารถเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ศีลในพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก คือ กาย วาจา และใจ ซึ่งรวมเรียกว่า "ไตรทวาร" หรือทวารทั้งสาม ดังนี้:
ศีลข้อกาย (กายกรรม 3):
เว้นจากการฆ่าสัตว์ (ปาณาติปาตา เวรมณี)
เว้นจากการลักทรัพย์ (อทินนาทานา เวรมณี)
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี)
ศีลข้อวาจา (วจีกรรม 4):
เว้นจากการพูดเท็จ (มุสาวาทา เวรมณี)
เว้นจากการพูดส่อเสียด (ปิสุณาย วาจาย เวรมณี)
เว้นจากการพูดคำหยาบ (ผรุสาย วาจาย เวรมณี)
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปา เวรมณี)
ศีลข้อใจ (มโนกรรม 3):
ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น (อนภิชฌา)
ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น (อพยาบาท)
มีความเห็นชอบ เช่น เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม (สัมมาทิฏฐิ)
ศีลทั้ง 10 ข้อนี้เรียกว่า "กุศลกรรมบถ 10" หรือทางแห่งกุศลกรรม 10 ประการ ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญในการดำเนินชีวิตตามแนวทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เกิดความสงบสุขทั้งแก่ตนเองและสังคม
"ไตรทวาร" หมายถึง ทวารทั้งสาม หรือช่องทางทั้งสามที่ใช้ในการกระทำกรรม ได้แก่
กายทวาร - การกระทำทางกาย เช่น การทำดีหรือทำชั่วผ่านการกระทำทางร่างกาย
วจีทวาร - การกระทำทางวาจา เช่น การพูดดีหรือพูดไม่ดี
มโนทวาร - การกระทำทางใจ เช่น ความคิดดีหรือคิดไม่ดี
ไตรทวารเป็นแนวคิดที่ใช้ในพระพุทธศาสนาเพื่อเน้นให้ผู้ปฏิบัติธรรมรู้จักควบคุมและชำระกาย วาจา และใจให้บริสุทธิ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในชีวิตและปฏิบัติธรรม
ทำดีทำชั่ว พูดดีพูดชั่ว คิดดีคิดชั่ว
นิมิตแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. บริกรรมนิมิต คือ นิมิตขั้นเตรียมหรือเริ่มต้น ได้แก่สิ่งใดก็ตามที่กำหนดเป็นอารมณ์ ในการเจริญสมาธิ เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู ลมหายใจที่กำหนด หรือพุทธคุณที่กำหนดนึกเป็นอารมณ์ว่า อยู่ในใจ เป็นต้น
2. อุคคหนิมิต คือ นิมิตที่ใจเรียนหรือนิมิตติดตา ได้แก่ บริกรรมนิมิตที่เพ่งหรือกำหนด จนเห็นแม่นยำกลายเป็นภาพติดตาติดใจ เช่น ดวงกสิณที่เพ่งจนติดตาหลับตามองเห็น เป็นต้น ภาพที่เห็นอย่างไรนิมิตจะมี ภาพอย่างนั้น
3. ปฏิภาคนิมิต คือ นิมิตเสมือนนิมิตคู่เปรียบ หรือนิมิตเทียบเคียง ได้แก่ นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิต แต่ติดลึกเข้าไปอีก จนเป็นภาพที่สามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามปรารถนานิมิตจะมีลักษณะที่เปลี่ยนจากของมีสีกลายเป็นของที่มีลักษณะใส
[87] นิมิต 3 (เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เห็นในใจอันเป็นตัวแทนของสิ่งที่ใช้อารมณ์กรรมฐาน — sign; mental image)
1. บริกรรมนิมิต (นิมิตแห่งบริกรรม, นิมิตตระเตรียมหรือนิมิตแรกเริ่ม ได้แก่สิ่งใดก็ตามที่กำหนดเป็นอารมณ์ในการเจริญกรรมฐาน เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู หรือ พุทธคุณที่นึกเป็นอารมณ์ว่าอยู่ในใจเป็นต้น — preliminary sign) ได้ในกรรมฐานทั้ง 40
2. อุคคหนิมิต (นิมิตที่ใจเรียน, นิมิตติดตา ได้แก่ บริกรรมนิมิตนั้นเพ่งหรือนึกกำหนดจนเห็นแม่นในใจ เช่น ดวงกสิณที่เพ่งจนติดตา หลับตามองเห็น เป็นต้น — learning sign; abstract sign; visualized image) ได้ในกรรมฐานทั้ง 40
3. ปฏิภาคนิมิต (นิมิตเสมือน, นิมิตเทียบเคียง ได้แก่ นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตนั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากสัญญา เป็นเพียงอาการปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิจึงบริสุทธิ์จนปราศจากสีเป็นต้น และไม่มีมลทินใดๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามปรารถนา — sign; conceptualized image) นิมิตนี้ได้เฉพาะในกรรมฐาน 22 คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 กายคตาสติ1 และอานาปานสติ 1
เมื่อเกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตย่อมตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ จึงชื่อว่าปฏิภาคนิมิตเกิดพร้อมกับอุปจารสมาธิ เมื่อเสพปฏิภาคนิมิตนั้นสม่ำเสมอด้วยอุปจารสมาธิก็จะสำเร็จเป็นอัปปนาสมาธิต่อไป ปฏิภาคนิมิตจึงชื่อว่าเป็นอารมณ์แก่อุปจารภาวนาและอัปปนาภาวนา.